ภาครัฐเร่งช่วยเหลือน้ำท่วมใต้ “มหาดไทย” เร่งจ่ายเงินเยียวยา ครัวเรือน 9,000 บาท “เกษตร” ชดเชยเกษตรกร ครัวเรือนละ 3,000 บาท “พลังงาน” ลดค่าไฟ ม.ค. – เม.ย. 69

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามเร่งรัดการฟื้นฟูจากอุทกภัยในเขตอำเภอหาดใหญ่ นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีข้อสั่งการเร่งด่วนให้กระทรวงมหาดไทยระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยเน้นย้ำเรื่องการดูแลปัจจัยสี่และการดำรงชีพเป็นสำคัญ ทั้งด้านที่พักพิง อาหาร และน้ำดื่มอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนเสบียงอาหารในครัวเรือน โดยได้นำทีมผู้บริหารลงพื้นที่เพื่อจัดตั้ง “ครัวกลางของชุมชน” กระจายทุกชุมชนในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ รวม 103 ชุมชน ๆ ละ 50,000 บาทต่อวัน จำนวน 5 วัน รวมเป็นเงิน 25,750,000 บาท เพื่อให้บริการอาหารปรุงสุกที่สะอาดและปลอดภัยแก่ประชาชนที่ไม่สามารถประกอบอาหารเองได้ ควบคู่ไปกับการดำเนินแผนฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและการเยียวยาความเสียหายให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว โดย กระทรวงมหาดไทยได้จัดสรรงบประมาณให้กับชุมชนครบทั้ง 103 ชุมชนแล้ว

นอกจากนี้ นายอรรษิษฐ์ ยังเป็นประธานประชุมเร่งรัดติดตามการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดสงขลา พร้อมระบุว่า นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย เร่งระดมสรรพกำลังสำรวจความเสียหาย และเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินเยียวยาให้ถึงมือประชาชนอย่างรวดเร็วและทันท่วงที โดยให้นายอำเภอทั้ง 16 อำเภอ ประสานงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งรัดการบันทึกข้อมูลขอรับเงินเยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาท ยึดมาตรการ “ลดขั้นตอนและเอกสารให้เหลือน้อยที่สุด” เพื่อไม่ให้เป็นภาระประชาชน ให้กรมป้องกันและบรรเทา
สาธารณภัย (ปภ.) เร่งแก้ไขระบบการบันทึกข้อมูลที่ขัดข้องให้กลับมาใช้งานได้สมบูรณ์ทันที เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่สามารถนำเข้าข้อมูลเยียวยาผู้ประสบภัยได้รวดเร็วและครอบคลุมมากที่สุด สำหรับข้อมูลวันที่ 1 ธันวาคม 2568 (14.00 น.) เจ้าหน้าที่ได้บันทึกข้อมูลการขอรับเงินเยียวยาไปแล้วกว่า 154,884 ครัวเรือน คิดเป็นวงเงิน 1,393.956 ล้านบาท

โดยธนาคารออมสินโอนเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ครัวเรือนละ 9,000 บาท ให้แก่ผู้ประสบภัยที่ได้ลงทะเบียนและผ่านการตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้วในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ รวมจำนวน 26,571 ครัวเรือน ได้แก่ จังหวัดสงขลา (4,563 ครัวเรือน) สตูล (8,772 ครัวเรือน) และจังหวัดปัตตานี (13,236 ครัวเรือน) เป็นเงินทั้งสิ้น 239,139,000 บาท ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน

ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขบัตรประจำตัวประชาชน ติดต่อธนาคารใดก็ได้ เพื่อดำเนินการผูกบัญชีโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดความขัดข้องในการโอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและให้การช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ด้านนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า ผู้ประสบภัยที่น้ำท่วมขัง
ที่อยู่อาศัยประจำและเข้าตามเงื่อนไข จะได้รับเงินเยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาท แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนอยู่ในขั้นวิกฤติรุนแรง ต้องอำนวยความสะดวกให้ได้รับเงินเยียวยาอย่างเร็วที่สุด โดยประชาชนสามารถยื่นคำร้องได้ 2 กรณี ได้แก่

1. เว็บไซต์ https://flood68.disaster.go.th/ เพื่อแสดงความจำนงค์ขอรับสิทธิ์การเยียวยา โดยหลังจากยืนยันในระบบแล้ว ให้ไปติดต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ หรือผู้นำชุมชน เพื่อยืนยันการได้รับผลกระทบ

2. ยื่นคำร้องด้วยตนเอง ณ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ประสบภัย โดยการยื่นคำร้องทั้ง 2 กรณี ไม่ต้องใช้สำเนาเอกสารบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือหนังสือรับรองใดๆ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถใช้ฐานข้อมูลประชากรในระบบทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง เป็นข้อมูลประกอบการให้ความช่วยเหลือ หรือใช้หลักฐานใดๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเอกสารก็ได้ กรณีผู้ประสบภัยที่ได้รับความเสียหายจริงแต่ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่ ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำชุมชน จะทราบข้อมูลบุคคลและความเสียหายในพื้นที่อยู่แล้ว ให้รวบรวมยืนยันรายชื่อผู้ประสบภัยได้ โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะส่งข้อมูลดังกล่าว ให้คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) ตรวจสอบก่อนส่งให้คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) ยืนยันข้อมูล และส่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นำส่งให้ธนาคารออมสินโอนเงินเยียวยา 9,000 บาท ให้ผู้ประสบภัยต่อไป

ทั้งนี้เพื่อเร่งคืนเมืองหาดใหญ่กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว กระทรวงมหาดไทยโดยกองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน (บก.อส.) ได้เปิดระดมกําลังสมาชิกกองอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) จากทั่วประเทศ สนับสนุนภารกิจในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่เพิ่มอีก 2,000 นาย รวมกำลังพลทั้งสิ้นเป็น 4,012 นาย เข้าปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือซ่อมแซมและทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุด

ขณะที่ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ในนามผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.)กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ร้องเรียนถึงปัญหาความยุ่งยากในการใช้เอกสารลงทะเบียนรับเงินเยียวยาน้ำท่วมว่า ตนเองเข้าใจดีว่าเอกสารสำคัญของประชาชนจำนวนมากสูญหายหรือชำรุดจากน้ำท่วม จึงได้ประสานไปยังนายกรัฐมนตรี ให้งดเว้น
การใช้เอกสารพิสูจน์ตัวตนสำหรับผู้ประสบภัยในอำเภอหาดใหญ่และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยสามารถให้ผู้นำชุมชนรับรองได้ทันที เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิการเยียวยาให้เร็วที่สุด โดยล่าสุด ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่การเสนอมาตรการเยียวยาประชาชนในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ นั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอหลักเกณฑ์ชดเชยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ครัวเรือนละ 3,000 บาท และหลักเกณฑ์การเยียวยาความเสียหายด้านปศุสัตว์ เช่น โค อายุน้อยกว่า 6 เดือน อัตราตัวละไม่เกิน 13,000 บาท สุกร อายุ 1 – 30 วัน อัตรา
ตัวละไม่เกิน 1,500 บาท กระบือ อายุน้อยกว่า 6 เดือน อัตราตัวละไม่เกิน 15,000 บาท

ส่วนภารกิจเร่งด่วนขณะนี้คือ น้ำและไฟฟ้า ได้ขอให้การประปาส่วนภูมิภาค สาขาหาดใหญ่ เร่งปล่อยน้ำประปา แม้จะยังมีความขุ่นอยู่บ้าง ซึ่งจะทยอยดีขึ้น ขณะเดียวกันได้ขอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เร่งจ่ายไฟเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยได้มอบหลอดไฟโซลาร์กว่า 5,000 ชุดให้ประชาชน เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก และอยากให้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการใช้เทียน ซึ่งอาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้ สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่น ตลาดกิมหยง และเขตเศรษฐกิจของหาดใหญ่ ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการฟื้นฟู เนื่องจากการท่องเที่ยวเสียหายอย่างหนัก แต่จากการที่ได้มีการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทั้งชาวมาเลเซียและอินโดนีเซีย ทำให้เห็นว่ารัฐบาลดูแลนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งโรงครัวบริเวณด้านหน้าโรงแรมซิกเนเจอร์ และจัดทีมลำเลียงอาหารเข้าไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านแทน เพื่อแก้ปัญหารถติดสะสมและให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 จะมีอาหารฮาลาลสำหรับชาวมุสลิมมาบริการตรงจุดนี้ด้วย

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า โจทย์สำคัญของรัฐบาลคือการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการลดค่าน้ำมันไปแล้ว 2 ครั้ง และมีการตรึงค่าก๊าซหุงต้มที่
423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัมไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 รวมทั้งได้เตรียมนโยบายต่างๆ อย่าง Quick Big Win ที่จะนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ทั้งในภาคเกษตรกรรม ภาคประชาชน ภาครัฐ เพื่อให้ภาพรวมของค่าใช้จ่าย
ด้านพลังงานของประเทศลดลง

สำหรับค่าไฟฟ้าในงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2569 ได้สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ร่วมกันพิจารณาเพื่อให้ค่าไฟฟ้าในงวดดังกล่าวมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพเศรษฐกิจ และไม่เป็นภาระกับประชาชน ซึ่ง กกพ. ได้พิจารณาตามข้อเสนอของ กฟผ. ที่คำนวณค่า Ft ตามราคาก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. คาดว่าจะลดลงจากการที่ราคา LNG ปรับจาก 12.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ลงมาเหลือ 11.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู รวมทั้งพิจารณาจากค่าภาระต้นทุนคงค้าง (ค่า AF) ที่แม้จะยังมีหนี้คงค้าง แต่จำเป็นต้องใช้หนี้บางส่วนเพื่อรักษาวินัยทางการเงินควบคู่กันไปด้วย เป็นผลให้อัตราค่าไฟฟ้าปรับลดจาก 3.94 บาท ลดเหลือหน่วยละ 3.88 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยคิดเป็นค่า Ft สำหรับเรียกเก็บในงวดประจำเดือน มกราคม – เมษายน 2569 ลดลงจากเดิม 15.72 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 9.72 สตางค์ต่อหน่วย นอกจากนี้ได้ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ บนพื้นฐานกฎหมายและหลักวิชาการเป็นสำคัญ เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ในส่วนของค่าไฟฟ้าในงวดเดือน มกราคม – เมษายน 2569 ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานช่วยกันบริหารจัดการเพื่อปรับลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่าในงวดปัจจุบัน ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนได้อีกทาง ซึ่งจากการบริหารจัดการของ กฟผ. ปตท. และ กกพ. เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าจากงวดปัจจุบันที่ 3.94 บาทต่อหน่วย เหลือ 3.88 บาทต่อหน่วย และเร่งนโยบาย Quick Big Win ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายค่าไฟให้กับภาพรวมของประเทศได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง