นายกฯ ยืนยันพร้อมปฏิบัติการทางทหาร กำชับผู้ว่าฯ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ดูแลประชาชนในศูนย์อพยพอย่างดีที่สุด ห้ามขาดแคลนอาหาร ยา สิ่งจำเป็น

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ถึงประชาชนชาวไทยว่า ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 จนถึงขณะนี้ ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลติดตามอย่างใกล้ชิดในทุกระยะ และได้สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคงบูรณาการการทำงานอย่างเต็มสรรพกำลัง เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน และปกป้องอธิปไตยของชาติไทยอย่างเคร่งครัด รัฐบาลขอยืนยันว่า ประเทศไทยจะดำรงความมุ่งมั่นสูงสุดในการปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และสิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม และในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ มีมติยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติคือ จะปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณีตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่นๆ ที่มีความจำเป็น

รัฐบาลมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความสามารถของกองทัพไทย ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบตามกฎการใช้กำลัง และยึดหลักมนุษยธรรมในการปกป้องประชาชน และรักษาความสงบเรียบร้อยตลอดแนวพื้นที่ชายแดน พร้อมกันนี้ รัฐบาลขอส่งกำลังใจและความห่วงใยไปยังประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว รัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านความเป็นอยู่และความปลอดภัย ที่พักพิง อาหาร น้ำดื่ม การบริการทางการแพทย์ และสวัสดิการที่จำเป็นอย่างเต็มความสามารถ

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า เพื่อความถูกต้องของข้อมูล และเพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก รัฐบาลขอวิงวอนให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากช่องทางราชการเท่านั้น และมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้สื่อสารข้อมูลหลักในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลจะบูรณาการข้อมูลร่วมกับทุกเหล่าทัพ และหน่วยงานความมั่นคงทุกระดับ เพื่อให้ข้อมูลที่ออกสู่สาธารณะมีความถูกต้อง ชัดเจน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า การปกป้องประเทศชาติและความปลอดภัยของประชาชน คือภารกิจสูงสุดของรัฐบาลและกองทัพไทย ประเทศไทยไม่เคยต้องการเห็นความรุนแรง โดยยืนยันว่าประเทศไทยไม่เคยเป็นฝ่ายริเริ่มหรือรุกรานแต่อย่างใด แต่ประเทศไทยจะไม่ยอมให้มีการล่วงละเมิดอธิปไตย และจะดำเนินการอย่างมีเหตุมีผล รอบคอบ และยึดหลักสันติภาพ ความมั่นคง และมนุษยธรรมเป็นสำคัญ โดยรัฐบาลจะรายงานสถานการณ์ให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง และพร้อมดำเนินการทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในรัฐบาล และในศักยภาพของกองทัพไทย และร่วมกันให้กำลังใจและสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารในครั้งนี้

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้ประชุมผ่าน video conference ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน 7 จังหวัด ได้แก่ ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี พร้อมสั่งการดูแลความปลอดภัยของประชาชน อพยพประชาชนไปในที่ปลอดภัย กำชับดูแลประชาชนในศูนย์อพยพให้ดีที่สุด กำชับเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณในการดูแลประชาชนห้ามขาดแคลนอาหาร ยา และสิ่งของจำเป็น และเน้นย้ำให้ทุกหน่วยช่วยกันดูแลพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ร่วมกันกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน และกองอาสารักษาดินแดน เพื่อให้แนวหน้าได้ทำงานโดยไม่ต้องห่วงข้างหลัง ทั้งนี้ยังสั่งการให้เตรียมความพร้อมเรื่อง โรงพยาบาลดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ เตรียมเลือดให้พร้อม และให้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลประชาชนในศูนย์อพยพ

พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกถ้อยแถลง ว่า ​​เช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2568 กัมพูชาได้เริ่มการโจมตีทางทหารหลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงข้อเท็จจริงด้วยหลักฐานที่ประจักษ์ชัด
ถึงการละเมิดของฝ่ายกัมพูชา ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 (อนุสัญญาออตตาวา) และใช้โอกาสที่ประเทศไทยยังอยู่ในภาวะวิกฤติจากเหตุอุทกภัย โดยใช้อาวุธสงครามร้ายแรงโจมตีกองทัพไทย
ในลักษณะที่คุกคามต่อชีวิตกำลังพล ประชาชน และอธิปไตยของไทย โดยไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรมที่ประเทศเพื่อนบ้านพึงกระทำต่อกัน ทั้งที่ฝ่ายไทยได้ยึดถือแนวทางสันติวิธีเสมอมา ​​​การกระทำของฝ่ายกัมพูชาแสดงออกอย่างชัดแจ้งถึงความไม่จริงใจในการร่วมกันสร้างสันติภาพ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ทำลายสันติภาพ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิในการป้องกันตนเองอย่างเต็มรูปแบบตามกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ชีวิตของทหาร และประชาชนคนไทยทุกคน ขอให้มั่นใจว่า ที่ผ่านมากองทัพไทยได้ยึดมั่นแนวทางสันติวิธีในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย โดยพร้อมที่จะตอบโต้และควบคุมสถานการณ์ ภายใต้กรอบหลักการสากล มีเหตุผล คำนึงถึงชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นสำคัญ

ขณะที่ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสรุปเนื้อหาการบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงต่อคณะทูตานุทูตจาก 58 ประเทศ 1 องค์กร 2 องค์การระหว่างประเทศรวม 73 คน เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเบื้องต้นสรุปใน 5 ประเด็นตามที่นายสีหศักดิ์ ได้ชี้แจงว่า

1. สถานการณ์ในขณะนี้แสดงให้เห็นว่า เป็นการกระทำแบบเดิมของกัมพูชาที่รุกรานไทยก่อนแล้วปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ รวมถึงเป็นการยั่วยุรูปแบบต่าง ๆ เช่น การลอบวางทุ่นระเบิด แม้กัมพูชาจะพยายามสร้างภาพในการเรียกร้องสันติภาพและแสดงความยับยั้งชั่งใจแต่ความจริงทั้งยั่วยุ ยุยง และรุกรานก่อน

2. ไทยมุ่งปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดำเนินการทางการทหารอย่างถึงที่สุด เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย

3. สาธารณชนไทยหมดความอดทนอดกลั้นต่อกัมพูชาที่ไม่เคยคำนึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของไทย และคนไทยต้องเผชิญภัยคุกคามต่อความปลอดภัยมาครั้งแล้วครั้งเล่า จึงจะต้องปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยจนกว่าจะไม่ถูกคุกคาม

4. ท่าทีของไทยและปฏิบัติการทางทหารของไทยจะดำเนินจนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนแปลงจุดยืน เช่น การเลือกเดินบนเส้นทางสันติภาพอย่างแท้จริง

5. ขอย้ำว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเหยียบย่ำข้อตกลงหยุดยิงและข้อแถลงร่วมที่ได้ลงนามร่วมกันเมื่อเดือนตุลาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

สำหรับรายละเอียดที่ได้ชี้แจงต่อคณะทูต นายสีหศักดิ์ ได้ชี้แจงอย่างละเอียด ตามไทม์ไลน์เหตุการณ์รวม
มีเหตุการณ์ 14 ครั้ง ซึ่งชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มการปะทะครั้งนี้ และไทยได้มีหนังสือประท้วงไปยังคณะ
ผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT) เพื่อชี้แจงเหตุดังกล่าว กรณีสื่อต่างประเทศรายงานข่าวโดยเน้นว่า ไทยใช้การโจมตีทางอากาศ ซึ่งเหตุผลคือ สภาพภูมิประเทศไม่เอื้อให้ดำเนินการอย่างอื่นได้เพราะพื้นที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิด และเป็นอีกครั้งที่การโจมตีของกัมพูชาส่งผลกระทบต่อประชาชนไทยอย่างร้ายแรง ทำให้ประชาชนใน 4 จังหวัด เกือบ 400,000 คน ต้องอพยพไปยังพื้นที่พักพิงชั่วคราว ทั้งนี้ยังได้ชี้แจงข้อมูลที่กัมพูชาได้เผยข้อมูลเท็จ โดยไม่มีหลักฐานรองรับ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นการสร้างสถานการณ์โดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวมถึงการที่หน่วยงานต่างๆ ของกัมพูชา พร้อมใจกันออกมาให้ข้อมูลเท็จว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อนจนเป็นเหตุให้กัมพูชาต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง

หลังจากการบรรยายสรุปต่อคณะทูต สิ่งที่ดำเนินการเพิ่มเติมคือ เชิญเอกอัครราชทูตมาเลเซีย และอุปทูตสหรัฐอเมริกา มาพบในฐานะประเทศที่เป็นสักขีพยานในการลงนามในถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Declaration) และได้มีหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชา ทำหนังสือเวียนชี้แจงเหตุการณ์ให้ประเทศสมาชิกอาเซียน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) และมีหนังสือถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ด้วย ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าหน่วยงานทุกฝ่ายจะทำงานอย่างเต็มที่และมีเอกภาพ

สำหรับสถานการณ์การตอบโต้กัมพูชาของฝ่ายไทย ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 20.00 น. โดยด้านตรงข้าม จังหวัดสระแก้ว ฝ่ายกัมพูชา มีการเพิ่มเติมกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และอาวุธหนักเข้าประชิดแนวชายแดน มีกระสุนปืนเล็กยิงมาจากฝั่งกัมพูชาเข้ามายังพื้นที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จึงปฏิบัติการทางทหารตอบโต้ จากนั้นได้ดำเนินกลยุทธ์ที่หมายทางทหารในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม เพื่อยึดคืนอธิปไตยของไทย ใน 3 พื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว ได้แก่ บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง และบ้านคลองแผง อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว โดยสามารถทำลายที่มั่นดัดแปลงของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ปฏิบัติการได้บางส่วน และหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 สามารถยึดและควบคุมที่หมายบริเวณบ้านไปรจันตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้วได้เป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้การปฏิบัติทางทหารไม่ปรากฏการใช้จรวดหลายลำกล้อง (BM-21) จากฝั่งกัมพูชา

กองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงผลการปฏิบัติทางทหารในการโจมตีเป้าหมายภายในขอบเขตเส้นปฏิบัติการ หรือ Line of Operation ที่เป็นภัยคุกคามว่า การปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่ 1) การยิงทำลายตึกร้างที่ทำการเครือข่ายสแกมเมอร์ พื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี 2) การยิงทำลายเสา Anti Drone พื้นที่พระวิหารและห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 3) การกวาดล้างสวนมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งรุกล้ำเส้นปฏิบัติการ บริเวณช่องระยี ทางทิศตะวันออกช่องจอม 4) การเข้าควบคุมปราสาทคนา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ 5) การยิงทำลายกระเช้าลำเลียงเสบียงเนิน 350 ปราสาทตาควาย ทั้งนี้เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 9 ธันวาคม 2568 มีรายงานเพิ่มเติมว่า เริ่มมีการปฏิบัติทางทหาร ด้วยอาวุธ BM-21 ในพื้นที่ซำแต ภูผี ช่องตาเฒ่า และปราสาทตาควาย สถานการณ์ในพื้นที่ยังติดพันการรบ

ด้านพลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงว่าสถานการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ด้านจังหวัดตราด บริเวณบ้านหนองรี ตำบลชำราก อำเภอเมือง จังหวัดตราด ซึ่งปรากฏชัดเจนจากภาพถ่ายทางอากาศล่าสุดว่ามีกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในเขตอธิปไตยของไทยอีกครั้ง รวมทั้งมีการเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ ซึ่งฝ่ายไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามหลักสากลจากเบาไปหาหนัก แต่นอกจากกำลังทหารกัมพูชาจะไม่ถอนกำลังออกจากดินแดนของไทยแล้ว ยังมีการเสริมกำลังเพิ่มเติม เช่น ชุดรบพิเศษ พลซุ่มยิง จรวดหลายลำกล้อง รวมถึงปรับปรุงฐานที่มั่นสิ่งอำนวยความสะดวกทางยุทธวิธีในลักษณะที่กระทบต่ออธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน เช่น การขุดคูเลต การติดตั้งอาวุธหนัก และการใช้อากาศยานไร้คนขับเข้ามาลาดตระเวนในพื้นที่และที่ตั้งทางทหารของฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ ตลอดจนความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ จึงจำเป็นต้องใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อขับไล่กำลังทหารกัมพูชาออกจากดินแดนอธิปไตยของไทย ตามหลักการป้องกันตนเองสากล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยยังคงยึดมั่นในหลักการใช้กำลังตามความจำเป็นและได้สัดส่วน เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในวงจำกัดและหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่อาจจะลุกลาม ขอยืนยันว่า การดำเนินการทุกขั้นตอนอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดของศูนย์บัญชาการทางทหาร โดยคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ

ส่วนผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการที่กองทัพภาคที่ 2 มีคำสั่งอพยพประชาชนอำเภอชายแดนใน 4 จังหวัด คือ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดได้ยกระดับปฏิบัติการตามแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉินระดับ 2 โดยเร่งเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงทั้งหมดไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งได้มีการสำรองเตียง ICU เตียงผู้ป่วยทั่วไป สำรองคลังเลือด ยา และเวชภัณฑ์ไว้รองรับสถานการณ์แล้ว สำหรับผู้ป่วยเปราะบาง ติดเตียง ได้จัดระบบติดตามดูแลต่อเนื่อง รวมถึงผู้ป่วยที่ต้องได้รับการฟอกไต มีการกระจายไปยังหน่วยบริการฟอกไตต่างๆ และจัดรถรับส่งกรณีผู้ป่วยไม่มีรถ พร้อมจัดทีมด้านการแพทย์และสาธารณสุขดูแลประชาชนที่อพยพมาพักในศูนย์พักพิงต่างๆ นอกจากนี้ ทุกจังหวัดยังจัดเตรียมทีมปฏิบัติการในพื้นที่ ทั้งทีมการแพทย์ฉุกเฉินระดับจังหวัด (MERT) ทีมการแพทย์ฉุกเฉินระดับอำเภอ (Mini MERT) ทีมสอบสวนโรค ทีมควบคุมโรค ทีมดูแลจิตใจ MCATT ทีมปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อม (SEhRT) รถพยาบาลขั้นสูง และทีมการแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศไว้พร้อมแล้ว โดยได้กำชับให้ทุกจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมยกระดับการจัดบริการตามแผนรองรับสถานการณ์ที่วางไว้

จากผลกระทบดังกล่าวทำให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว แจ้งปิดให้บริการ แผนกผู้ป่วยนอก (OPD) และแผนกผู้ป่วยใน (IPD) ณ โรงพยาบาลชายแดน 4 แห่ง ดังนี้ โรงพยาบาลตาพระยา โรงพยาบาลโคกสูง โรงพยาบาลอรัญประเทศ โรงพยาบาลคลองหาด ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. 68 เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ยังคงเปิดให้บริการเฉพาะ แผนกอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน สำหรับผู้ป่วยหนัก (วิกฤต) เท่านั้น ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ แจ้งว่า โรงพยาบาลกันทรลักษ์ และโรงพยาบาลภูสิงห์ ปิดให้บริการ 100% โรงพยาบาลขุนหาญ เปิดให้บริการบางส่วน เฉพาะผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน ส่วนโรงพยาบาล
ขุขันธ์ เปิดให้บริการตามปกติ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี แจ้งว่า โรงพยาบาลน้ำยืน โรงพยาบาลน้ำขุ่น โรงพยาบาลนาจะหลวย ปิดให้บริการ ประชาชนที่เจ็บป่วย รับยาเดิม ปรึกษาปัญหาสุขภาพ สามารถเข้ารับการรักษาได้ที่ อาคารแผนไทย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเดชอุดม (ทีม รพ.น้ำยืน) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนากระแซง (ทีม รพ.น้ำขุ่น) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโคกเทียม (ทีม รพ.นาจะหลวย)

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ แจ้งว่า สำนักงานสาธารณสุขอำเภอบ้านกรวด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สถานบริการสาธารณสุขชุมชน แจ้งปิดสำนักงานชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ด้าน ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงสถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม เป็นต้นมา ส่งผลให้หน่วยงานด้านความมั่นคงสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงเพื่อความปลอดภัย รวมถึงสถานศึกษาที่อยู่ในจุดที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ และสระแก้ว จึงได้สั่งการให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประสานไปยัง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในสังกัดทั้ง 5 จังหวัด เพื่อให้ปิดการเรียนการสอนชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยขณะนี้ สถานศึกษาที่จำเป็นต้องปิดการเรียนการสอนชั่วคราวรวมทั้งสิ้น 641 แห่ง เพื่อความปลอดภัยของครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง