“พิพัฒน์” บอร์ด SMEs อนุมัติงบ 2,700 ล้าน ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไทย และ 9 จังหวัดภาคใต้ ที่ประสบอุทกภัย พักหนี้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ฟื้นฟูกิจการ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ครั้งที่ 5/2568 โดยมีนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ด SMEs) รวมถึงรองผู้อำนวยการสำนักงาน และรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเสนอมาตรการและข้อมูลเชิงลึกของ SMEs ทั่วประเทศและ SMEs ในพื้นที่ประสบอุทกภัยภาคใต้

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไทย และใน 9 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ ได้แก่ จังหวัดสงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง ตรัง สตูล นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี โดยข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ชี้ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผู้ประกอบการกว่า 200,000 ราย ได้รับผลกระทบ และกระทบต่อการจ้างงานกว่า 900,000 คน จึงจำเป็นต้องออกมาตรการแบบ “เฉพาะพื้นที่–ตรงจุด–เข้าถึงง่าย” เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็วที่สุด ซึ่งในการเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือ SMEs นั้น จะใช้เงินจากกองทุนส่งเสริม SMEs รวม 2,700 ล้านบาท (ซึ่งเป็นมาตรการเพิ่มเติมจากมาตรการทางการเงิน Quick Big Win วงเงิน 2.67 แสนล้านบาท ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 7 แห่ง ที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา) ภายใต้การกำกับดูแลของบอร์ดส่งเสริม SMEs และ สสว. ดังนี้

          มาตรการที่ 1 การสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มีเวลาปลอดชำระ ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศ วงเงิน 1,200 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ SMEs ทั่วประเทศไทย ใน 3 ด้าน ได้แก่

             1) Transformation Fund – 400 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการปรับรูปแบบธุรกิจใหม่ ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ที่ตลาดต้องการ

             2) Enhancement Fund – 400 ล้านบาท ช่วยธุรกิจที่มีศักยภาพให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

             3) Tourism & Related Fund – 400 ล้านบาท ช่วยธุรกิจท่องเที่ยวและกิจการที่เกี่ยวเนื่องทั่วไทย และที่ได้รับผลกระทบหนักในพื้นที่ภาคใต้ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม รถเช่า ไกด์ ฯลฯ

          มาตรการที่ 2 การให้เงินช่วยเหลือส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การเอกชน นำไปใช้ตามแผนปฏิบัติการส่งเสริม SMEs (แผนที่รัฐบาลดำเนินการเพื่อพัฒนา SMEs ให้เข้มแข็ง โดตได้อย่างยั่งยืน เช่น สนับสนุนด้านเงินทุน, เทคโนโลยี, นวัตกรรม, การตลาด, การปรับกฎระเบียบ, และการพัฒนาบุคลากร) โดยเน้นการช่วยเหลือ SMEs ใน 9 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบอุทกภัย วงเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การเอกชน นำไปใช้ตามแผนปฏิบัติการส่งเสริม SMEs โดยเฉพาะการช่วยเหลือ SMEs ใน 9 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบอุทกภัย ผ่านกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสริมความแข็งแกร่ง เช่น การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) การเปิดตลาดจำหน่ายสินค้าของจังหวัด ผลักดันสินค้า SMEs ในภาคใต้เข้าสู่ตลาดระดับประเทศ เพื่อสร้างรายได้ทันที

          ทั้งนี้บอร์ดได้ปรับลดเงื่อนไขคุณสมบัติผู้ประกอบการ จากเดิมที่ต้องประกอบการ 2 ปี ลดเหลือ 6 เดือน เพื่อเปิดทางให้ SMEs รายใหม่ที่เพิ่งเริ่มกิจการสามารถขอรับความช่วยเหลือได้ พร้อมสิทธิปลอดชำระเงินต้น
เพื่อลดภาระผู้ประกอบการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทันที

          นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้กำกับดูแล สสว. ระบุว่า รัฐบาลได้กำหนด 3 มาตรการฉุกเฉินเพื่อช่วย SMEs ทุกกลุ่มให้ “กลับมาดำเนินกิจการได้เร็วที่สุด” ได้แก่

          1) พักชำระหนี้ 6 เดือน – 1 ปี ครอบคลุมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ลดภาระช่วงธุรกิจหยุดชะงัก

          2) ซ่อมแซมฉุกเฉิน (BDS – “SME ปัง ตังได้คืน”) รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายซ่อมหรือปรับปรุงร้าน 50–80% เพื่อให้กลับมาเปิดได้เร็วที่สุด

          3) เพิ่มสภาพคล่องผ่านแต้มต่อจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ SMEs ในพื้นที่น้ำท่วมได้รับแต้มต่อสูงสุด 20% ช่วยให้เข้าถึงงานรัฐเร็วขึ้นและมีรายได้หมุนเวียนทันที

นอกจากนี้ นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ได้เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นำทัพเจ้าหน้าที่ส่วนกลางลงพื้นที่จัดตั้งศูนย์บริการเคลื่อนที่เฉพาะกิจ “DFT Mobile Office” ที่ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ เพื่อให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) ตลอดเดือนธันวาคม 2568 ไม่เว้นวันหยุด และไม่เสียค่าแบบพิมพ์ที่มาใช้บริการที่ศูนย์เคลื่อนที่จนกว่าสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลา สาขาหาดใหญ่ จะกลับมาให้บริการได้ตามปกติ เพื่อช่วยผู้ประกอบการให้เดินหน้าธุรกิจต่อได้แม้ในช่วงวิกฤต ซึ่งจังหวัดสงขลาถือเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจการค้า ที่สำคัญของภาคใต้ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์  โดยในปีที่ผ่านมามีการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า C/O เฉลี่ยปีละกว่า 50,000 ฉบับ คิดเป็นมูลค่าการส่งออกกว่า 3,760.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น การเปิดศูนย์ “DFT Mobile Office” อย่างรวดเร็ว จะช่วยให้ผู้ประกอบการภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดสงขลาสามารถใช้บริการของกรมการค้าต่างประเทศ
เพื่อการส่งออก อาทิ การออกหนังสือรับรองฯ ได้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ลดโอกาสความเสียหายทางการค้า และลดภาระค่าใช้จ่ายที่ผู้ประกอบการอาจต้องแบกรับ โดยศูนย์บริการฯ จะร่วมมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลา เปิดให้บริการผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ เพื่อให้ภาวะเศรษฐกิจของภาคใต้กลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิมโดยเร็ว ซึ่งศูนย์ “DFT Mobile Office” เปิดให้บริการทุกวัน บริเวณ ชั้น 3 ศูนย์บริการราชการ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ เวลา 10.00 – 18.00 น. ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2568 ไม่เว้นวันหยุด ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02 547 4830 และ 02 547 4838 หรือติดตามข้อมูลด้านการค้าต่างประเทศ รวมถึงกฎ ระเบียบ และมาตรการต่างๆ ได้ทางเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือสายด่วน 1385

ข่าวที่เกี่ยวข้อง