รัฐบาลบูรณาการทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เน้นย้ำการดูแลสุขภาพ ความเป็นอยู่ และความปลอดภัย

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงมีการการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ได้รับผลกระทบด้านชีวิตความเป็นอยู่ ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติและต้องออกมาอยู่อาศัยภายในศูนย์พักพิงชั่วคราวที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้ เพื่อความปลอดภัย ซึ่งหน่วยงานภาครัฐได้ระดมกำลังบริหารจัดการความเป็นอยู่ให้กับประชาชนภายในศูนย์อพยพให้ได้รับความสะดวก และมีขวัญกำลังใจ

พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลปราสาท อำเภอปราสาท โดยได้สอบถามอาการบาดเจ็บ การรักษา และให้กำลังใจกำลังพล พร้อมชื่นชมความเสียสละของทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศอย่างเข้มแข็ง จากนั้นได้ไปให้กำลังใจประชาชนที่ศูนย์อพยพภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ โดยมี ร.อ.สมบัติ บัญชาเมฆ หรือ บัวขาว ร่วมคณะด้วย เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจและทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ทั้งนี้ พลโท อดุลย์ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ซึ่งรัฐบาล กองทัพและทุกภาคส่วนจะดูแลประชาชนอย่างเต็มที่

นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบภัยจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยกล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ฝากความห่วงใยมายังผู้ประสบภัยทุกคน พร้อมให้กำลังใจและขอให้ทุกคนอดทนอีกสักระยะ เพื่อความปลอดภัย ขอให้งดเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยงจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่ร่วมเสียสละเวลา แรงกาย และทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างเต็มกำลัง รัฐบาลยืนยันว่าจะดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกคนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผ่านพ้นสถานการณ์ครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัยที่สุด

นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่อพยพเข้าศูนย์พักพิงชั่วคราวในเขตอำเภอเมืองสุรินทร์ เป็นวันที่ 3 นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกองทัพ ตำรวจ และฝ่ายปกครอง บูรณาการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาความมั่นคง ปกป้องอธิปไตย และคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน โดยได้จัดตั้งศูนย์พักพิง เตรียมที่พัก อาหาร และการช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง พร้อมขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าใกล้พื้นที่อันตรายจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย อีกทั้งยังเน้นย้ำให้ทุกศูนย์พักพิงให้ความสำคัญในการดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างทั่วถึง รวมถึงการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์เพื่อดูแลสุขภาพของผู้อพยพ

นายทรงศักดิ์ ยังได้ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจพลทหารแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานท่ามกลางสถานการณ์กดดันอย่างต่อเนื่อง ณ โรงพยาบาลปราสาท อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ และโรงพยาบาลสุรินทร์ จากนั้นเดินทางไปยังโรงพยาบาลสุรินทร์ เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจทหารที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมทั้งสอบถามอาการของผู้บาดเจ็บ รับฟังรายงานจากทีมแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการรักษาและการดูแลผู้ป่วย มอบกำลังใจต่อกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัว และชื่นชมความทุ่มเทของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งท่ามกลางสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการคุกคามอย่างต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชา ส่งผลให้กำลังพลไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย ยืนยันว่า  การปฏิบัติการของฝ่ายไทยเป็นไปตามหลักสากล มุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหาร นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชน พร้อมแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียของทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ ส่วนผู้บาดเจ็บทุกนายยังมีขวัญกำลังใจดี และพร้อมกลับไปทำหน้าที่เมื่อร่างกายฟื้นตัว

ด้านนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า จากกรณีโบราณสถานได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เน้นย้ำให้ความสำคัญสูงสุดคือการรักษาดินแดนและรักษาอธิปไตยของประเทศ กรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัยกับโบราณสถาน กรมศิลปากรมีความพร้อมและมีศักยภาพที่จะดำเนินการบูรณะซ่อมแซมได้ แต่หลักการสำคัญคือ ต้องรักษาประเทศไว้ก่อน หากไม่มีประเทศก็ไม่สามารถรักษาโบราณสถานไว้ได้ อีกทั้ง กรมศิลปากรได้ปิดการเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม จังหวัดสระแก้วเป็นการฉุกเฉินเนื่องจากมีคำสั่งอพยพพื้นที่โดยเร่งด่วนตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย  และมอบหมายให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ประสานให้ความช่วยเหลือประชาชน ร่วมกับจังหวัดและหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อสำรวจของใช้จำเป็น จัดส่งไปช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะพยายามใช้กลไกทางวัฒนธรรม เข้าไปช่วยปลอบขวัญประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน

นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา จนอาจเกิดความไม่ปลอดภัยกับผู้ที่จะต้องเข้าสอบ TCAS (TGAT/TPAT2-5) ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา กระทรวง อว. และ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) จึงได้หารือร่วมกับฝ่ายความมั่นคง โดยได้ประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของผู้เข้าสอบ เจ้าหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติงานในวันสอบ มีข้อสรุปว่า จำเป็นต้องเลื่อนการสอบ TCAS ใน 7 จังหวัดชายแดน ได้แก่ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ตราด สระแก้ว และจันทบุรี จากกำหนดการเดิมคือวันที่ 13-15 ธันวาคม 2568 เปลี่ยนเป็นวันที่ 17-19 มกราคม 2569 ทั้งนี้ ในระยะเวลาใกล้ ๆ สอบ หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ ไม่เป็นปกติ หรือยังมีความเสี่ยงในด้านความปลอดภัย ทางกระทรวง อว. และ ทปอ. จะพิจารณาประเมินสถานการณ์กันอีกครั้ง เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้เข้าสอบทุกคน ส่วนศูนย์สอบอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ใน 7 จังหวัดจะมีการสอบปกติ เนื่องจากหลายคนได้เตรียมสอบกันมาเป็นอย่างดีแล้ว เพื่อไม่ให้เสียขวัญและกำลังใจ ส่วนประเด็นการใช้ข้อสอบคนละชุดขอยืนยันว่า มาตรฐานของข้อสอบไม่ต่างกัน แม้จะไม่ได้สอบพร้อมกัน แต่จะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ คุณภาพ และความยากง่ายของข้อสอบยังมีมาตรฐานเท่ากันเหมือนเดิม

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายให้ นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อติดตามสถานการณ์และให้กำลังใจประชาชน รวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้กำชับระบบการเงิน-สิทธิรักษาพยาบาล ให้มีความต่อเนื่องของการให้บริการแม้ในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มยังคงเข้าถึงบริการได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย โดยเน้นกลุ่มเปราะบางติดบ้าน ติดเตียง ดูแลต่อเนื่อง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยได้ลงพื้นที่ศูนย์ดูแลกลุ่มเปราะบางติดบ้านติดเตียง พร้อมให้กำลังใจทีมดูแล และแนะนำในการจัดระบบบริการ โดยให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังโรคติดต่อทางเดินหายใจ โรคระบบทางเดินอาหาร โรคที่เกิดจากแมลง รวมถึงการเตรียมระบบส่งต่อเมื่ออาการทรุด เพื่อคุ้มครองผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงในพื้นที่ชายแดนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังตรวจเยี่ยมศูนย์ดูแลผู้ป่วยฟอกไต พร้อมกำชับให้หน่วยงานทุกระดับร่วมกันดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเน้นว่า ผู้ป่วยฟอกไตทุกคนต้องได้รับบริการอย่างครบถ้วน ทั้งฟอกทางเส้นเลือดและฟอกทางหน้าท้อง เพิ่มรอบการฟอกให้เพียงพอ หา “ศูนย์ฟอกไตเพิ่มเติม” เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ เชื่อมโยงข้อมูลการรักษาระหว่างโรงพยาบาลและศูนย์บริการให้ไร้รอยต่อ

ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับ สำนักงานปศุสัตว์อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่มอบอาหารสัตว์ ประกอบด้วย อาหารเม็ดสำหรับสุนัข จำนวน 60 กิโลกรัม อาหารเม็ดสำหรับแมว จำนวน 92 กิโลกรัม และอาหารผสมสำเร็จรูปสำหรับโค-กระบือ ชนิดผง จำนวน 400 กิโลกรัม โดยมีปศุสัตว์อำเภอละหานทรายเป็นผู้รับมอบอาหารสัตว์ดังกล่าว นำไปแจกจ่ายให้กับสัตว์เลี้ยงของประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและสัตว์เลี้ยงในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และสำนักพัฒนาอาหารสัตว์ ร่วมกับ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสระแก้ว ส่งเสบียงหญ้าอาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือ ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดน ไทย–กัมพูชาและเก็บเป็นคลังเสบียงอาหารสัตว์ ณ อำเภอโคกสูง และอำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว จำนวน 14,000 กิโลกรัม อาหารข้นแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ อำเภอคลองหาด รวมจำนวน 840 กิโลกรัม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากการไม่มีอาหารให้แก่โค-กระบือ เนื่องจากเกษตรกรต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงในพื้นที่ที่ปลอดภัย โดยมีเกษตรกรที่ได้รับความช่วยเหลือ จำนวน 32 ราย สัตว์ที่ได้รับการช่วยเหลือโคเนื้อจำนวน 220 ตัว ทั้งนี้ สามารถขอรับการช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านปศุสัตว์ กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ โทรศัพท์ 02-653-4444 ต่อ 3315 หรือที่ สำนักงานปศุสัตว์อำเภอและสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดในพื้นที่ รวมถึงสามารถแจ้งผ่าน Application DLD 4.0 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง