พลังงาน ยืนยัน ไม่มีการส่งออกน้ำมันจากไทยไปกัมพูชา ส่งไป สปป.ลาว เท่านั้น

นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แถลงหลังประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ว่า ที่ประชุมได้หารือ 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1. การรับคนไทยจากกัมพูชาเดินทางกลับประเทศไทย 2. การเยียวยา ที่ได้ให้รวบรวมจำนวนผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต เพื่ออนุมัติเงินเยียวยาเพิ่มเติม และ 3. การสกัดกั้นการนำน้ำมันและยุทธปัจจัยไปยังกัมพูชา มอบศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล หรือ ศรชล. ดำเนินการแจ้งเตือนเรือไทยในการเข้าพื้นที่เสี่ยง และประสานกรมเจ้าท่าตรวจสอบเรือไทย ควบคุมให้เกิดความเรียบร้อย ส่วนเรื่องการขนส่งยุทธภัณฑ์มอบหมายกระทรวงกลาโหมกำหนดสินค้าที่จะส่งไปยังกัมพูชา

ด้านนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า นายมะไลทอง กมมาสิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ของ สปป.ลาว ได้เข้าพบนายอรรถพล ฤกษ์พิบูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ของ สปป.ลาว ได้แสดงความห่วงใยและเข้าใจถึงความจำเป็นด้านความมั่นคงของฝ่ายไทย รวมทั้งได้ยืนยันว่าไม่มีการส่งต่อน้ำมันไปยังกัมพูชา เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายว่าด้วยสินค้าผ่านแดนของ สปป.ลาว โดยยินดีให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และพร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลการซื้อขายน้ำมัน เพื่อให้การดำเนินการที่เกี่ยวข้องไม่กระทบต่อความมั่นคงของไทยและการพัฒนาของ สปป.ลาว ทั้งนี้ ปริมาณการส่งออกน้ำมันที่ไทยส่งให้ สปป.ลาว ถือว่าเป็นปริมาณที่ปกติ ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับการยืนยันจากผู้ค้าน้ำมันและกรมศุลกากรอย่างชัดเจน ซึ่งมีรถบรรทุกเฉลี่ยประมาณ 20 คันต่อวันผ่านทางช่องเม็ก อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึง เมษายน ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่หมดฤดูฝน ทาง สปป.ลาว จะมีความต้องการใช้น้ำมันสูงเพื่อใช้ประกอบธุรกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเหมืองต่าง ๆ ทางตอนใต้ของลาว

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีที่มีรถบรรทุกน้ำมันจอดรอขนส่งบริเวณช่องเม็ก ที่ประชาชนมีความกังวลจะมีการส่งไปยังกัมพูชาผ่านทาง สปป.ลาว ว่า จากการประชุม สมช. และข้อมูลจากกระทรวงพลังงานขอยืนยันว่ากระทรวงพลังงานได้ตรวจสอบแล้วว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา การส่งน้ำมันไปยัง สปป.ลาว ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ได้ให้ข้อสังเกตไปยังกระทรวงพลังงาน กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ว่า รถขนน้ำมันทุกคันที่ผ่านชายแดนไทยไปยัง สปป.ลาว จะต้องตรวจสอบจุดหมายปลายทางทุกคันอย่างรวดเร็ว และกระทรวงคมนาคมยืนยันว่า รถขนน้ำมันทุกคันมี GPS และไม่ยินยอมให้ใช้ช่องทาง สปป.ลาว เพื่อไปยังกัมพูชา

นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ตรวจสอบกับสำนักงานพาณิชย์ ณ กรุงเวียงจันทน์ ยืนยันว่าเป็นการค้าปกติเช่นกัน ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา น้ำมันทั้งหมดถูกส่งไปค้าขายเพื่อนำไปใช้ใน สปป.ลาว ทั้งหมด ฝ่ายสปป.ลาว ก็ยืนยันว่าน้ำมันทั้งหมดนั้นเป็นการนำเข้าและใช้ในประเทศ ยืนยันว่าไม่มีการส่งน้ำมันต่อไปยังกัมพูชา ส่วนการพิจารณาเปิด-ปิดด่านเป็นอำนาจของฝ่ายความมั่นคง  และการยืนยันของหลายฝ่ายรวมถึงการพูดคุยกันระหว่างฝ่ายพลังงานของไทยและลาว คาดว่าสถานการณ์บริเวณช่องเม็กน่าจะผ่อนคลายและกลับสู่สภาวะปกติในเร็วๆ นี้

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบงบกลางตามคำขอของกระทรวงกลาโหม ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายปี 2569 เพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นการขอมาจากกองทัพบก และกองทัพเรือ โดยอนุมัติงบ 2,444,061,516 บาท เพื่อใช้ในการดูแลขวัญกำลังใจกำลังพลและรองรับในยามฉุกเฉิน

สำหรับการช่วยเหลือคนไทยที่ยังติดค้างอยู่ในกัมพูชา นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ที่ประชุม สมช. ได้พิจารณาแนวทางใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำ โดยกระทรวงการคลังมีระเบียบสามารถยืมเงินเพื่อใช้เดินทางกลับ ซึ่งในหลักการคือการจัดเครื่องบินไปรับคนไทยกลับ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศไปดำเนินการเร็วที่สุด

นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้มีคนไทยที่ลงทะเบียนผ่านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ และสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ 669 คน และข้อมูลจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 มีคนไทยเดินทางกลับแล้ว 352 คน เหลืออีก 317 คน มีกำหนดการเดินทางกลับจำนวน 4 คน ส่วนคนไทยที่ติดค้างอยู่ที่ปอยเปตประมาณ 5,000 – 6,000 คน

นางมาระตี ยังกล่าวถึงกรณีที่หลายประเทศเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิง ว่า ไทยแสดงออกมาโดยตลอดยืนยันในหลักการ การหยุดยิงขึ้นอยู่กับประเทศที่เป็นคู่เจรจาและต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ 3 ข้อ เพื่อความชัดเจน คือ 1. กัมพูชาต้องประกาศหยุดยิงก่อนในฐานะที่เป็นผู้รุกล้ำ 2. การหยุงยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง 3. ฝ่ายกัมพูชาจะต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างจริงจังและจริงใจ ทั้งนี้ประเด็นที่ต้องย้ำเสมอคือการปฏิบัติการทั้งหมดของไทยเป็นไปบนสิทธิการปกป้องตนเอง ตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และหลักมนุษยธรรม

ทั้งนี้นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้พูดคุยกับเอกอัครราชทูตจีน ซึ่งที่ผ่านมาระบุว่าอยากให้ไทยและกัมพูชา เข้าสู่สันติภาพ พยายามแก้ไขปัญหาระหว่างกัน ซึ่งฝ่ายไทยพร้อม แต่ต้องเห็นตรงกันทั้งสองฝ่าย แต่ที่เห็นคือ พูดว่าหยุดยิง พอวันรุ่งขึ้นก็ยิงเข้ามา ไทยมีท่าทีชัดเจนว่า ถ้าจะหยุดยิง กัมพูชาต้องเป็นฝ่ายยุติก่อน แล้วค่อยพูดกันว่ากระบวนการจะเป็นอย่างไร

นายชัยรัตน์ แก้วเพียงเพ็ญ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินมาตรการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังเพื่อดูแลประชาชนที่อพยพจากพื้นที่เสี่ยงภัยมาอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ขณะมีจำนวนประชาชนจากศูนย์พักพิงฯ ต่าง ๆ รวมกว่า 250,000 คน โดยยืนยันว่ากระทรวงมหาดไทยจะดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด หากมีข้อขัดข้องต่าง ๆ สามารถแจ้งไปยังผู้อำนวยการศูนย์พักพิงชั่วคราว นายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ได้ พร้อมกันนี้ ยังได้ประสานและกำหนดเป็นแผนงานกับกรมปศุสัตว์ และหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อจัดเตรียมอาหารสัตว์ ไปแจกจ่ายและดูแลปศุสัตว์ที่เจ้าของต้องอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงฯ เช่นเดียวกับทรัพย์สินและบ้านเรือนของประชาชนผู้อพยพ ยืนยันว่ามีการจัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) อาสารักษาดินแดน (อส.) และตำรวจในพื้นที่ เพื่อกำหนดแผนการลาดตระเวน ดูแลรักษาทรัพย์สินและบ้านเรือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงให้เกิดความสงบเรียบร้อย

สำหรับปฏิบัติการตอบโต้การโจมตีจากกัมพูชา พลเรือตรี สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงเปิดฉากโจมตีเข้ามายังพื้นที่อธิปไตยของไทยตลอดแนวชายแดน โดยใช้จรวดหลายลำกล้อง BM-21 โจมตีเข้ามาในพื้นที่ รวมถึงการระดมโจมตีเข้าใส่ตัวปราสาทตาควายที่อยู่ในความควบคุมของฝ่ายไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้ว่าฝ่ายไทยจะควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ได้แล้ว ก็ยังคงต้องระวังการโจมตีกลับของฝ่ายกัมพูชาอย่างรอบคอบ ยืนยันว่า ฝ่ายไทยจะไม่หยุดยั้งและจะต้องตอบโต้การโจมตีของฝ่ายกัมพูชาเพื่อป้องกันตนเอง

พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ยืนยันว่า กองทัพปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ ความชอบธรรมของการปฏิบัติการพิจารณาจากลักษณะของเป้าหมายทางทหารและระดับภัยคุกคามที่เป้าหมายนั้นก่อให้เกิด ทุกเป้าหมายที่โจมตีใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง เป็นการปฏิบัติการทางทหารเท่านั้น เพื่อยับยั้งป้องกันไม่ให้กัมพูชาโจมตี และลดผลกระทบต่อประชาชน โดยประเทศไทยประสบความสำเร็จในการลิดรอนขีดความสามารถของกัมพูชา  

ด้านปฏิบัติการของกองทัพเรือ ที่ประชุม สมช. มีมติให้ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล (ศรชล.) ควบคุม กำกับ ดูแลปฏิบัติการในพื้นที่ โดยให้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การแจ้งเตือนเรือไทยที่จะเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งประสานกับกรมเจ้าท่าเพื่อตรวจตราเรือไทยที่อาจขนส่งสินค้าที่เอื้อต่อการสงครามไปยังกัมพูชา โดยขณะนี้ สมช. มีมติให้ควบคุมการขนส่งน้ำมันและยุทธปัจจัยทางทะเล สำหรับเรือพาณิชย์ที่ขึ้นทะเบียนสัญชาติไทย อย่างไรก็ตาม มติดังกล่าวยังไม่มีการบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีกระบวนการที่ต้องใช้เวลาในการกลั่นกรอง นำไปสู่การออกกฎระเบียบสำหรับบังคับใช้อย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ พลเรือโท อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ออกประกาศยกเลิกประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด (เคอร์ฟิว) ในอำเภอคลองใหญ่ บ่อไร่ แหลมงอบ เขาสมิง และเมืองตราด จังหวัดตราด เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ที่ปรากฏภัยคุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากภายนอกราชอาณาจักรอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้แล้ว เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2568

ขณะที่ผลกระทบต่อภาคประชาชนไทยในขณะนี้ มีผู้ที่อพยพมาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้งสิ้น 263,285 คน โดยมีการตั้งศูนย์พักพิง 996 จุด มีประชาชนที่เสียชีวิตเฉพาะที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเหตุการณ์ 15 ราย
มีประชาชนที่เสียชีวิตจากการโจมตีของกัมพูชาโดยตรง 1 ราย และมีประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของกัมพูชา 6 ราย โรงพยาบาลได้รับผลกระทบ 20 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ได้รับผลกระทบ 214 แห่ง

 ด้านสถานการณ์การค้าชายแดน นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการปิดจุดผ่อนปรนการค้าในเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา การส่งออกภาพรวมของประเทศไทยยังคงเติบโตสูงถึง 13% ในช่วง 10 เดือนแรก โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 9.3 ล้านล้านบาท เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักต่อการค้า โดยเฉพาะเรื่องการส่งออกของประเทศไทย ส่วนมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและการดูแลค่าครองชีพ ทางกระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำโครงการหลายโครงการเพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนมีค่าครองชีพที่คงที่ และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ สินค้าอุปโภคบริโภค ยังคงมีเพียงพอและสามารถจัดหาได้ทั่วถึง รวมถึงได้รับราคาที่เป็นธรรม

นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ภาพรวมด้านการท่องเที่ยวยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปัจจุบันยังมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยตามปกติในพื้นที่ท่องเที่ยวหลักได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ รวมถึงฝั่งอันดามัน และชลบุรี ยังไม่มีการยกเลิกแต่อย่างใด ล่าสุดวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ยังมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวกว่า 102,000 คน รวมยอดปัจจุบัน 31.1 ล้านคน เป้าหมายปลายปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยว 32.8 ล้านคน และนักท่องเที่ยวไทย 206 ล้านคน/ครั้ง ททท. ได้ทำเอกสารแจ้งมาตรการต่างๆ รวมถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติจะเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้กระตุ้นการท่องเที่ยว รวมถึงออกมาตรการเยียวยาดูแลช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วน อยากให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศมั่นใจในการท่องเที่ยวในประเทศไทย เมืองไทยยังมีความสวยงามและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวเช่นเดิม

นอกจากนี้ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์พักพิงชั่วคราวในจังหวัดสระแก้ว มอบเครื่องอุปโภคและบริโภค ยา และเวชภัณฑ์ เพื่อใช้ประโยชน์ภายในศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมเข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้ป่วยติดเตียง และประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพอย่างใกล้ชิด ก่อนตรวจเยี่ยมโรงครัวพระราชทาน และพูดคุยให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ประจำรถครัวสนาม

พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ที่โรงพยาบาลปราสาท อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันมีทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลปราสาท จำนวน 18 นาย กำลังพลผู้บาดเจ็บทุกนายมีขวัญกำลังใจเข้มแข็ง แสดงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนว่า เมื่ออาการดีขึ้นพร้อมจะกลับไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมรบในแนวหน้า

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงบุคลากร เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนและหารือแนวทางการเตรียมความพร้อม ระบบการส่งต่อผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บในพื้นที่ และการดําเนินงานด้านสาธารณสุข

ข่าวที่เกี่ยวข้อง